1. รถยนต์สตาร์ทติดยาก
อาการที่ผู้ใช้รถสังเกตุได้ง่าย ๆ คือ รถยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์สตาร์ทจะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง
2. ไฟหน้ารถไม่ค่อยสว่าง
ผู้ใช้รถอาจจะสังเกตได้โดย ลองดูไฟหน้ารถในที่มืด หรือตอนกลางคืนดู ว่าไฟหน้ารถไม่ค่อยสว่างเหมือนปกติรึเปล่า
3. ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ
ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติสามารถสังเกตได้จาก เครื่องเสียง วิทยุ กระจกไฟฟ้า
4. สีตาแมวเปลี่ยนไป
อีกวิธีที่ผู้ใช้รถสามารถสังเกตได้ว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อไหร่ คือการดูที่ตาแมวของแบตเตอรี่นั่นเอง
5. อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์เกิน 18 เดือน
ผู้ใช้รถควรต้องรู้ว่ามีการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์มานานเท่าไหร่แล้ว หากมีการใช้รถยนต์มาสักระยะแล้ว อาจต้องวางแผนสำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว
สัญญาณเตือนควรเปลี่ยนไส้กรองรถยนต์
1. เครื่องยนต์อืด เร่งไม่ขึ้น
ไส้กรองอากาศมีหน้าที่กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ แน่นอนว่าหากไส้กรองอากาศอุดตันด้วยฝุ่นละออง จะทำให้อากาศไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดอาการอืด เร่งไม่ขึ้น และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เครื่องยนต์สั่น มีเสียงผิดปกติ หรือสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
2. กลิ่นเหม็นไหม้หรือกลิ่นน้ำมันภายในห้องโดยสาร
ตัวของไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง จะมีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกและน้ำที่อาจปะปนอยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนที่จะส่งไปยังเครื่องยนต์ หากไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงเสื่อมสภาพหรือเกิดการรั่วซึม อาจทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงซึมออกมา ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นไหม้หรือกลิ่นน้ำมันภายในห้องโดยสารได้
3. แอร์ไม่เย็น หรือมีกลิ่นอับ
สาเหตุยอดฮิตที่พบเห็นกันบ่อยสำหรับ ไส้กรองมีเหตุขัดข้องแล้วส่งผลต่อแอร์ในตัวรถ เนื่องจากไส้กรองแอร์ทำหน้าที่กรองฝุ่นละออง หากไส้กรองแอร์อุดตันด้วยสิ่งสกปรก จะทำให้อากาศไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นของแอร์ลดลง
4. ควันดำออกจากท่อไอเสีย
ควันดำที่พุ่งออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่หลายคนมองข้าม แต่จริงๆแล้วมันคือสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันอาจบ่งบอกถึงปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเครื่องยนต์ เนื่องจากควันดำนั้นเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง
5. เสียงเครื่องยนต์ผิดปกติ
เสียงเครื่องยนต์ที่ผิดปกตินั้นเปรียบเสมือนเสียงกระซิบเตือนจากรถยนต์คู่ใจของคุณ มันอาจเป็นเสียงครางเบา ๆ ของไส้กรองอากาศที่อุดตัน หรือเสียงครืดคราดของไส้กรองน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพ เสียงเหล่านี้อาจดูเหมือนเล็กน้อยในตอนแรก แต่หากปล่อยไว้ไม่สนใจ มันอาจกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
วิธีการดูแลน้ำกลั่นในแบตเตอรี่รถยนต์
1. แบตเตอรี่ชนิดน้ำ
แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถทนอุณหภูมิได้สูงแต่ต้องหมั่นดูแลน้ำกลั่นอย่าให้ระดับน้ำกลั่นต่ำกว่าเส้นบอกระดับล่าง(Lower Level) สำหรับรถที่ใช้งานปกติแนะนำทุกๆ 2,000 – 3,000 กม. หรือ 1 เดือน ควรดูแลน้ำกลั่นแต่ถ้าเป็นรถใช้งานหนัก เช่น รถรับจ้าง แนะนำ 2 สัปดาห์ ควรดูแลน้ำกลั่น การสูญเสียน้ำกลั่นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศภายในห้องเครื่องและการใช้รถยนต์
2. แบตเตอรี่ชนิดไฮบริด
แบตเตอรี่ชนิดนี้ สำหรับรถที่ใช้งานปกติควรดูแลน้ำกลั่นทุกๆ 5,000 – 6,000 กม. หรือ 3 เดือน การสูญเสียน้ำกลั่นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในห้องเครื่องและการใช้รถยนต์ควรหมั่นดูแลระดับน้ำกลั่นอยู่เสมอ
3. แบตเตอรี่ชนิดกึ่งแห้ง
แบตเตอรี่ชนิดนี้ ไม่ต้องดูแลมากหรือตลอดอายุการใช้งานแทบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลยก็ว่าได้ แทบจะจัดว่าเป็นแบตเตอรี่แห้งก็ได้ครับ แต่ด้วยสภาพอากาศในบ้านเราร้อน อาจจะมีการสูญเสียน้ำกลั่นบ้าน ทางร้านแนะนำว่าควรดูแลน้ำกลั่นทุกๆ 10,000 – 12,000 กม. เพื่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของลูกค้าจะได้ยาวนานขึ้น
4. แบตเตอรี่ชนิดแห้งSMF
แบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่ต้องดูแลน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่จะออกแบบระบบหมุนเวียนน้ำกลั่นภายในตัวแบตเตอรี่ให้สูญเสียน้ำน้อยที่สุดตลอดอายุการใช้งาน เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลแบตเตอรี่